3928 เล่ม 1-2567
วัสดุทนไฟ - การหาค่าการนำความร้อน เล่ม 1 วิธีลวดร้อน (ครอสอาร์เรย์และเทอร์โมมิเตอร์วัดความต้านทาน)
REFRACTORY MATERIALS - DETERMINATION OF THERMAL CONDUCTIVITY - PART 1: HOT-WIRE METHODS (CROSS-ARRAY AND RESISTANCE THERMOMETER)
มอก. มาตรฐานทั่วไป
3 เมษายน 2568
ISO 8894-1:2010
ประกาศและงานทั่วไป
142
พิเศษ 157 ง หน้า 16
2 เมษายน 2568
24 มกราคม 2568
- กำหนดขึ้นโดยรับ ISO 8894-1:2010 Refractory materials — Determination of thermal conductivity — Part 1: Hot-wire methods (cross-array and resistance thermometer) มาใช้
โดยวิธีพิมพ์ซ้ำ (reprinting) ในระดับเหมือนกันทุกประการ (identical)
โดยใช้ ISO ฉบับภาษาอังกฤษเป็นหลัก
- กำหนดการหาค่าการนำความร้อนโดยวิธีลวดร้อน (ครอสอาร์เรย์
และเทอร์โมมิเตอร์วัดความต้านทาน) ของผลิตภัณฑ์และวัสดุทนไฟ
ที่ไม่มีคาร์บอนและเป็นฉนวนไฟฟ้า
- วิธีการทดสอบนี้ใช้สำหรับวัสดุที่มีความหนาแน่นและเป็นฉนวน (ผลิตภัณฑ์
มีรูปร่าง วัสดุทนไฟแบบหล่อ วัสดุทนไฟแบบพลาสติก หรือวัสดุทนไฟ
ที่ได้จากการนำวัสดุที่เป็นผงหรือเม็ดมาบดผสมกัน) มีค่าการนำความร้อนน้อยกว่า 1.5 W/m⋅K (ครอสอาร์เรย์) และน้อยกว่า 15 W/m⋅K (เทอร์โมมิเตอร์วัดความต้านทาน) และค่าการแพร่กระจายความร้อน
น้อยกว่า 5 x 10-6 m2/s
- ค่าการนำความร้อนสามารถกำหนดได้ที่อุณหภูมิห้องสูงถึง 1 250 °C
ซึ่งอุณหภูมิสูงสุด 1 250 °C สามารถลดลงได้ตามขีดจำกัดอุณหภูมิสูงสุด
ของวัสดุทนไฟ หรืออุณหภูมิของวัสดุทนไฟที่ไม่ได้เป็นฉนวนไฟฟ้าแล้ว
หมายเหตุ 1 โดยทั่วไปการใช้วิธีการนี้ในการทดสอบวัสดุแอนไอโซทรอปิกให้มี
ความแม่นยำเป็นเรื่องยากสำหรับวัสดุดังกล่าวดังนั้นจึงให้ขึ้นอยู่กับข้อตกลงกันระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้อง
2 ค่าการนำความร้อนของผลิตภัณฑ์ที่มีพันธะไฮโดรเจนหรือพันธะเคมี
อาจได้รับผลกระทบจากค่าที่ได้รับจากการประเมินได้ เมื่อปริมาณน้ำ
ที่กักเก็บไว้จากการที่วัสดุเกิดการแข็งตัวหรือตกตะกอนได้รับ
การปล่อยออกมาหลังจากการเผา วัสดุเหล่านี้จึงอาจต้องได้รับ
การเก็บรักษาก่อน ซึ่งลักษณะ ขอบเขต และการวัดอุณหภูมิเบื้องต้น
ในระยะเวลาการเก็บรักษาชิ้นทดสอบ ถือเป็นรายละเอียดที่อยู่
นอกขอบข่ายของมาตรฐานนี้ ดังนั้นจึงให้ขึ้นอยู่กับข้อตกลงกันระหว่าง
ผู้ที่เกี่ยวข้อง
3 ในการวัดค่าการนำความร้อน ผลลัพธ์ที่คาดหวังจะได้รับอาจถูกต้อง
ไม่เพียงพอ หากผู้ทดสอบไม่มีประสบกาณ์และการทำงานตาม
มาตฐานโดยเฉพาะ จึงจำเป็นต้องมีประสบการณ์ในการวัดอุณหภูมิ
และทักษะในห้องปฏิบัติการ